การดูแลสุขภาพผม  

Posted in

.......โดยปกติแล้วเส้นผมที่แข็งแรงจะนุ่มเป็นเงามัน เพราะถูกเคลือบไว้ด้วยซีบัม ( sebum ) ซึ่งเป็นน้ำมันตามธรรมชาติที่ต่อมไขมันบนหนังศีรษะสร้างออกมา เพื่อทำให้หนังศีรษะชุ่มชื่นและทำให้เส้นผมอ่อนนุ่ม นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อหนังศีรษะอีกด้วย

ต่อไปนี้เป็นวิธีการดูแลสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรงแลดูมีสุขภาพดี ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

ö การกินอาหาร หากเส้นผมมีปัญหา เป็นไปได้ว่าผมกำลังขาดแร่ธาตุหรือวิตามินบางชนิด อาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผม เช่น ไข่และผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม ฟักทอง แคร์รอต และพืชผักอื่น ๆที่อุดมด้วยเบตาแคโรทีน ปลาที่มีไขมันมาก ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง อาหารทะเล ข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นอกจากนี้ยังมีผักผลไม้สดทุกชนิดที่มีวิตามินซี และที่จะขาดไม่ได้ก็คือ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ( 6-8 แก้ว )

....ในกรณีที่หนังศีรษะแห้งและมีรังแคอาจเป็นเพราะขาดธาตุสังกะสี แหล่งอาหารที่มีธาตุสังกะสี เช่น หอยนางรม เนื้อแดง เมล็ดฟักทอง กรดไขมันจากน้ำมันพืชทุกชนิด ถั่วเมล็ดแห้ง ปลาที่มีไขมันมาก ปลากะพง ปลาสำลี ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาดุก ปลาซาร์ดีน และปลาแซลมอน
....แต่ถ้าผมร่วง อาจเกิดจากการขาดวิตามินเอ อาหารที่มีวิตามินเอ เช่น ข้างกล้อง ปลาที่มีไขมันมาก ถั่ว ไข่ นม โยเกิร์ต
.....ผมกระด้าง อาจเกิดจากการขาดวิตามินบี อาหารที่มีวิตามินบี เช่น ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม
....ผมเปราะแตกหักง่าย อาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมีมากในเมล็ดงา ปลาซาร์ดีน แอพริคอตแห้ง ปลาทูน่า เนื้อวัว ตับ
....ผมเสียมาก อาจเกิดจากการขาดธาตุทองแดงและสังกะสี ทองแดงพบมากในตับวัว หอยนางรม ปลาซาร์ดีน เห็ด ถั่วลิสง ลูกพรุน ปู กุ้งมังกร ส่วนสังกะสีพบมากในหอยนางรม จมูกข้าวสาลี เนื้อซี่โครงหมู ปลาซาร์ดีน

ö การทำความสะอาดผม การสระผมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนอกจากจะช่วยขจัดฝุ่นละออง เชื้อโรคและรังแคแล้ว ยังช่วยให้หนังศีรษะผ่อนคลายอีกด้วย โดยขณะสระผมนิ้วมือของเรา จะไปนวดกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันและการไหลเวียนของเลือด แชมพูที่ใช้ในการสระผมควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผม และควรเป็นแชมพูอ่อน ๆ ที่เมื่อใช้แล้วไม่เกิดอาการแสบ คันหรือหนังศีรษะแห้งเป็นขุย ถ้าผมแห้ง หลังสระควรใช้ครีมนวดโดยเฉพาะครีมนวดที่ผสมมอยซ์เจอไรเซอร์ แต่ถ้าผมผ่านการดัดมาแล้ว ควรใช้แชมพูสระผมสูตรอ่อนโยนเป็นพิเศษหลังสระผม ซับผมให้พอหมาด แล้วปล่อยให้แห้งเอง และไม่ควรหวีหรือแปรงผมขณะเปียก ถ้าสระผมตอนกลางคืน ควรรอให้ผมแห้งก่อนจะเข้านอน เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดเชื้อราได้ และเมื่อตื่นขึ้นมาผมก็จะลีบแบนไม่เป็นทรง ถ้าอยากให้ผมแห้งเร็วอาจใช้ไดร์เป่าผมเข้าช่วย แต่ต้องใช้ระดับความร้อนต่ำ และเป่าเมื่อผมเริ่มหมาดแล้ว

.....ถ้าผมไม่สกปรกมาก ควรสระผมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง การสระผมบ่อยเกินไป อาจทำให้หนังศีรษะแห้ง และการสระแต่ละครั้งให้ใช้แชมพูแค่ 1-2 ครั้ง เพราะการใช้แชมพูเกินกว่านั้น จะเป็นการขจัดน้ำมันตามธรรมชาติที่เคลือบเส้นผมอยู่ และทำให้ผมจัดทรงยาก

ö การหวีผม นอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และฝุ่นละอองแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด รวมทั้งช่วยกระจายไขมันที่ผลิตออกจากต่อมไขมันบนหนังศีรษะอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ผมนุ่มสลวยเป็นเงางาม

.....แปรงหรือหวีที่ใช้หวีผมควรมีลักษณะปลายมนกลม ไม่แหลมคม และซี่ห่างพอสมควร หากเป็นไปได้ควรใช้แปรงหรือหวีที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เขาสัตว์ ไม้ หรือขนสัตว์

.....วิธีหวีผมที่จะช่วยให้ผมมีสุขภาพดี ก็คือ ต้องก้มศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย เลือดจะได้ไหลเวียนไปเลี้ยงหนังศีรษะได้ทั่วถึง จากนั้นให้แปรงผมอย่างเบามือประมาณ 30 -40 ครั้ง การแปรงแต่ละครั้งต้องให้ซี่หวีสัมผัสหนังศีรษะด้วยทุกครั้ง
ระหว่างสระผมควรนวดหนังศีรษะเบา ๆ ไปด้วย เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมได้มากขึ้น การนวดทำได้โดยใช้ปลายนิ้วทั้ง 10 นิ้วกดลง แล้วนวดลงน้ำหนักปานกลางให้ทั้งศีรษะ จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น
การใส่น้ำมันหรือครีม ในผู้ที่หนังศีรษะแห้งหลังสระผมอาจต้องใส่น้ำมันหรือครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น แต่อย่าใส่มากเกินไป เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นละอองได้ อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผมก็คือ ชโลมน้ำมันมะกอกอุ่น ๆ ก่อนสระผม แล้วนวดให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมารณ 20 นาที จึงสระและล้างออก

.....หลีกเลี่ยงไม่ให้ผมโดนแดดจ้า คลอรีน หรือน้ำทะเลบ่อย ๆ เพราะจะทำให้เส้นผมและหนังศีรษะแห้ง
เพื่อป้องกันผมแตกปลาย ให้เล็มปลายผมทุก ๆ 2 สัปดาห์ ส่วนปลายผมที่สั้นและขาด หรือแตกปลายมาก ๆ เล็มไม่ได้ ให้ใช้ครีมนวดชโลมบริเวณที่แตกปลาย เมื่อผมยาวพอตัดได้แล้ว จึงเล็มออก

อ้างอิงจาก Guidebook for Health and Wellness
โดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด

วิธีประเมินสุขภาพด้วยตัวเอง  

Posted in

ö ปวดเข่าด้านหน้า บริเวณลูกสะบ้าหัวเข่าลงไปหน้าแข้ง สาเหตุมาจากกระเพาะอาหาร เช่น กินไม่ตรงเวลา ไม่กินอาหารเช้า กินอาหารรสจัด หรือเป็นคนวิตกกังวลบ่อย กระเพาะอาหารยังทนได้อยู่ไม่เป็นอะไร แต่จะมาฟ้องทีเข่า

ö ปวดเข่าด้านหลัง บริเวณขาพับ สาเหตุมาจากกระเพาะปัสสาวะ เช่น กลั้นปัสสาวะบ่อย หรือ คุมปัสสาวะไม่ได้ กระเพาะปัสสาวะเองยังฟ้องเหตุการณ์ในร่างกายได้อีกหลายอย่าง

......... ถ้าเรามีปัญหากระเพาะปัสสาวะ อาจจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงอาการเบาหวาน หรือ มดลูกรังไข่ เรื่องของไต ลำไส้ใหญ่ไม่ดี แล้วกระเพาะปัสสาวะ ก็จะมาฟ้องที่ตรงใต้เข่าหลังขาพับ
......... อารมณ์หวาดกลัวเป็นเหตุให้ปวดเข่าได้ เช่น กลัวอยู่คนเดียว กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวลูกหลานไม่เลี้ยง กลัวความสูง กลัวความมืด

ö ปวดเข่าด้านข้าง แถบด้านนอก
ถ้าปวดบริเวณนี้ ร้าวไปถึงโคนขา ถึงสะโพก สาเหตุมาจากถุงน้ำดีเป็นเหตุ เราก็ตรวจตัวเองดูว่า เรากินน้ำน้อยไปไหม เรากินของผัดน้ำมันบ่อยหรือเปล่า

ö ปวดเข่าด้านใน ( เอาเข่าชนกัน )
...อาจเกิดจากม้าม หรือมีปัญหาของเบาหวาน,ความอ้วน หรือ กล้ามเนื้อกำลังจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ก็จะปวดเข่า ต้องทำให้ไขมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อ โดยกินขมิ้นชันเข้าไปช่วย
...อาจเกิดจากตับ เพราะใช้เครื่องสำอางและยาสระผม ยาโกรกผมที่มีสารเคมี สารพิษเหล่านี้จะลงไปสะสมที่ตับได้โดยตรง หรือการกินอาหารที่มีสารเคมีตกค้าง เช่น สารฟอกขาว สารกันบูด ดินประสิว ผงชูรส บอแรกซ์ หรือน้ำประสานทอง ก็จะมีสารพิษตกค้างที่ตับ หรือเกิดจากการกินหวานมาก ขี้โมโหบ่อย กินอาหารรสจัด
...อาจเกิดจากไต เพราะเรากินอาหารรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มมาก เป็นประจำ ไตจึงทำงานหนัก หรือกินอาหารที่ผัดน้ำมันเป็นประจำ ทำให้ระบบดูดซึมเสีย ก็เป็นเหตุให้ไตทำงานหนัก แล้วมีผลเกี่ยวข้องกับการปวดเข่าได้เช่นเดียวกัน

ถ้าปล่อยให้อวัยวะภายในพวกนี้มีปัญหา จะต้องปวดเข่าแน่นอน ควรหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุให้ได้

อ้างอิงจาก หนังสือกินเป็น ลืมป่วย คู่มือเพื่อสุขภาพดี
บรรยายโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา
เรียบเรียงโดย คุณ นิพนธ์ วีระธรรมานนท์
และขออนุโมทนาบุญให้กับครอบครัว “ กวินอนันต์ “ ด้วยนะคะ ที่ได้แจกหนังสือเล่มนี้ให้

วิธีขับไล่ไรฝุ่น  

Posted in

..........ในอากาศจะมีละอองฝุ่น และตัวไรฝุ่นลอยตัวอยู่ในอากาศทั่วไป และเมื่อมันล่องลอยมาเกาะติดที่ไหนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ ในห้องนอน ในรถ และเมื่อเราหายใจ ก็จะติดละอองและไรฝุ่นติดเข้ามาด้วย หรือติดที่ใบหน้า ตัวไรฝุ่นก็จะอาศัยอยู่ แล้วกัดกินฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่รูขุมขน และผิวหนัง หรือในโพรงจมูก ในรูหู เมื่อไรฝุ่นกินแล้วก็ต้องขับถ่ายทิ้งไว้ตรงบริเวณที่ไรฝุ่นอาศัยอยู่ จะเกิดเป็นเชื้อราอักเสบได้ง่าย ถ้าเกิดที่ใบหน้าก็จะเป็นสิว ถ้าเกิดกับหนังศีรษะ ก็เป็นเชื้อราที่หนังศีรษะ ไรฝุ่นจะกินทั้งเลือดและน้ำเหลืองด้วย ซึ่งก็จะมีวิธีในการขับไล่ไรฝุ่นดังนี้

..........กินขมิ้นแคปซูลในจำนวนมาก เป็นประจำ
..........กินน้ำมะพร้าววันละ 1 ลูก ไม่ต้องกินเนื้อมะพร้าว เพื่อเพิ่มแอสโตรเจน
..........ใช้โลชั่นน้ำมะเฟืองชะโลมผิวกาย เพื่อขับไล่ไรฝุ่นและยังช่วยลบลอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าให้หายไปทีละน้อย


อ้างอิงจาก หนังสือกินเป็น ลืมป่วย คู่มือเพื่อสุขภาพดี
บรรยายโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา
เรียบเรียงโดย คุณ นิพนธ์ วีระธรรมานนท์
และขออนุโมทนาบุญแด่ครอบครัว “ กวินอนันต์ “ ด้วยนะคะ ที่ได้แจกหนังสือเล่มนี้ให้

สาเหตุที่ถุงน้ำดีข้น  

Posted in

.....เพราะมีไขมันเกาะติดอยู่ที่ผนังลำไส้เล็กที่เกิดจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ เมื่อมีไขมันมาขวางการดูดซึมของน้ำ การย่อยจะไม่ปกติ จึงดึงน้ำย่อยจากถุงน้ำดีมาใช้งาน ซึ่งถุงน้ำดีเป็นถุงสำรอง เก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ

.....การดึงน้ำจากถุงน้ำดีมาใช้งานมากขึ้น ทำให้ถุงน้ำดีข้น และถ้ากินน้ำน้อย ก็จะทำให้ถุงน้ำดีข้น ในร่างกายของคน ต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 70 % ในเมื่อดูดซึมน้ำไม่ได้ แล้วยังถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ผิวหนัง เหงื่อ น้ำตา เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย จึงขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง ตัวเซลล์จะมีอายยุสั้นลง ผิวพรรณก็ไม่ผุดผ่อง

คนที่มีปัญหาถุงน้ำดีข้น ที่เกิดจากลำไส้เล็กมีไขมันอุดตันจะมีอาการดังนี้
ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง น้ำในหูไม่เท่ากันเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ ตาเหลือง กินได้น้อย ปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดน่อง ตาฝ้าฟาง ตาเป็นต้อ เหงือกบวม ปวดเข่า ขาไม่มีแรง เมื่อถุงน้ำดีข้นมากอาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้

ล้างระบบดูดซึม ด้วยสูตร ตามสะดวกนะคะ
- มะละกอดิบ ต้มน้ำ เอาน้ำมาชงชา ( ดื่มกิน )
- ใช้บอระเพ็ดยาว 1 เกียก ( 15 ซ.ม. ) ต้มน้ำแล้วดื่มกินให้หมดภายใน 1 วัน
- ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเอง
- ล้างลำไส้เป็นประจำ แล้วนิ่วในถุงน้ำดีจะหายไปเอง

วิธีดูแลถุงน้ำดี
- งดอาหารผัดน้ำมัน
- ดื่มน้ำครั้งละน้อย ๆ แต่ดื่มบ่อยครั้ง
- ไม่เครียด ไม่อดนอน
- ใช้ดีบัว ( ไส้ในของเม็ดบัว ) แบบตากแห้ง ต้มกินน้ำ ช่วยบำรุงถุงน้ำดี
- กินลูกเกด ( องุ่นตากแห้ง )

อ้างอิงจาก หนังสือกินเป็น ลืมป่วย คู่มือเพื่อสุขภาพดี
บรรยายโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา
เรียบเรียงโดย คุณ นิพนธ์ วีระธรรมานนท์
และขออนุโมทนาบุญแด่ครอบครัว “ กวินอนันต์ “ ด้วยนะคะ ที่ได้แจกหนังสือเล่มนี้ให้

ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า  

Posted in

........การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

........อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจน ส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1,บี 6 และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรกินสูตร โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาวและกล้วยน้ำว้า 1 ลูก

สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
- กระดูกคอข้อที่หนึ่งเคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
- กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วเกิดไขมันเกาะตัวเหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น
- มีพยาธิในลำไส้ หรือพยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
- การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง

........ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็วคออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า หลังเท้า วิตกกังวลง่าย อาจมีอาการทีละอย่าง หรือหลายอย่างพร้อมกัน

........สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง อยู่กันคนละส่วน แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียวที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดทั้งสามส่วน

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย
วันข้างหน้าก็จะมีหินปูนเกาะที่สมองส่วนหน้า แล้วจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เป็นเหตุให้ ตาเป็นต้อ จอประสาทตาเริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย หน้าเป็นฝ้า หน้าดำ

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้น้อย
จะมีอาการ ง่วงนอนบ่อย หรือง่วงนอนทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดส้นเท้า ขี้โมโห ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ต่อไปวันข้างหน้าความจำจะเสื่อม เริ่มจำไม่ค่อยได้ แต่ความจำระยะยาว คือเรื่องเก่า ๆ ยังจำได้ ส่วนความจำระยะสั้น คือเรื่องใหม่ ๆ ในปัจจุบันจะจำไม่ค่อยได้ หลง ๆ ลืม ๆ พูดวนไปวนมา ความจำจะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ
เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังได้น้อย
จะมีอาการ แขนขาไม่ค่อยมีแรง เดินไม่ค่อยไหว ตอนตื่นนอนบางครั้ง จะมีอาการแขนขาตายเหมือนผีอำ ขยับตัวไม่ค่อยได้

สมองเสื่อม
จากงานวิจัยในประเทศไทย พบว่าวันข้างหน้าอีกประมาณ 4 -5 ปี จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อม ถึง 9 ล้านคน เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมก่อนเหตุอันควร ซึ่งเมื่อเป็นแล้วก็จะเป็นภาระกับคนในครอบครัวอย่างมากที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
สาเหตุอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำติดต่อกันหลายปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ ทำให้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ได้

วิธีดูแลสมอง เช่น
1. พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
2. กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น. เพื่อให้เลือดรับสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และกินโยเกิต-นมสด-น้ำผึ้ง+มะนาว( นำมาผสมกัน ) ระหว่างเวลา 13.00-15.00 น. เพื่อล้างสำไส้เล็ก และเปลี่ยนขยะในสำไส้เล็กให้เป็นบี 12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
3. ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำชงชา
4.ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทราจีนแห้ง ใช้ดื่มน้ำเพื่อล้างไขมันในเลือด เป็นประจำ
5.กินน้ำกระชาย แล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะช่วยบำรุงสมองได้โดยตรง และผลไม้ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้ที่บำรุงสมองได้ดีมาก หรือ คึ่นฉ่าย,เม็ดบัว,ลูกแปะก้วย
6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ก่อนที่จะกินอาหารอะไรเข้าไปบำรุง ให้นึกถึงว่าลำไส้เราได้ล้างบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่เคยล้าง ควรใช้สูตรมะละกอดิบต้มน้ำ แล้วนำน้ำมะละกอร้อนนั้น มาชงชาดื่ม ล้างลำไส้เป็นประจำ


อ้างอิงจาก หนังสือกินเป็น ลืมป่วย คู่มือเพื่อสุขภาพดี
บรรยายโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา
เรียบเรียงโดย คุณ นิพนธ์ วีระธรรมานนท์
และขออนุโมทนาบุญแด่ครอบครัว “ กวินอนันต์ “ ด้วยนะคะ ที่ได้แจกหนังสือเล่มนี้ให้